นิทานเรื่อง หนอนผีเสื้อ
อาตมาเคยฟังนิทานเรื่องหนึ่งว่า
หนอนผีเสื้อทั้งหลายเมื่อถึงฤดูกาล
ก็จะพากันไต่ขึ้นยอดเขา
เมื่อไปถึงยอดเขา
มันจะพบอากาศที่ดี
สามารถเปลี่ยนตัวมัน
จากหนอนดักแด้
ให้เป็นตัวผีเสื้อได้
พอถึงฤดูกาล
ผีเสื้อทั้งหลายก็พากันไต่ขึ้นเขา
บางตัวขึ้นไปแล้วไม่รอด ตายก็มี
เพราะเหน็ดเหนื่อย หมดเสบียง
หมดแรง
บางตัวขึ้นไปก็เกิดไปกัดกัน
ตายกลางทาง
บางตัวขึ้นไปเกือบถึงแล้ว
ถูกแมลงอื่นเอาไปกินเสียก่อน
น้อยตัวมากที่ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว
กลายเป็นผีเสื้อได้
มนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกับดักแด้ผีเสื้อ
เราพยายามไต่ไปสู่ที่สูง
สูงฝ่ายสมมติก็คือ
อยากจะมีลาภ ยศ ชื่อเสียง สุข
พอไปถึงที่สูงแล้ว บางตัวก็ขึ้นถึงยอดเขา
บางตัวก็ขึ้นไม่ถึงเพราะอุปสรรคต่างๆ
บางคนกำลังหาเงินหาทองอยู่ดีๆ
ก็เกิดรถคว่ำตาย เกิดเจ็บป่วยตาย
บางคนกำลังรุ่งเรืองอยู่ก็เกิดถูกฆ่าตาย
ในแง่ของสมมติ แม้จะขึ้นไปถึงยอดแล้ว
ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
มันเห็นว่าไม่มีอะไร ก็กลับลงมา
แต่บางตัวขึ้นถึงยอดเขาแล้ว
ไม่พอใจเพียงเท่านั้น มันปีนขึ้นต้นไม้ต่อ
ไปกินใบไม้แล้วแปลงตัวเป็นผีเสื้อได้
เมื่อเราขึ้นถึงยอดเขาแล้ว
บางคนก็ยังเป็นสมถะอยู่
แต่บางตัวไม่ติดอยู่แค่นั้น
ยังสามารถปีนขึ้นต้นไม้ต่อไปอีก
นั่นหมายความว่า ยกตัวสมถะสู่วิปัสสนา
สามารถขึ้นไปสูงกว่านั้นอีก คือบินได้
หมายความว่า เมื่อยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาแล้ว
ก็ได้รับความเบาสบายของจิต
เหมือนเราอยู่ในที่สูง
ไม่ติดสภาวะที่เป็นรูปภพ อรูปภพ
จิตก็แปรสภาพเป็นจิตที่เบาโปร่ง สบาย
ก็สามารถที่จะอยู่เหนืออารมณ์ที่หนักได้
อารมณ์ที่หนัก
คืออารมณ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งหลาย
สุข ทุกข์ สรรเสริญ ลาภ ยศ
แต่พอจิตของเราเข้าสู่วิปัสสนา
คือจิตไม่หนักหน่วง
ด้วยสิ่งที่เป็นรูป และนามรูปทั้งหลาย
จิตก็มาอยู่กับตัวสภาวะนามธรรม
ที่เป็นปรมัตถ์ โปร่งเบา
ก็เกิดปีติ ปัสสัทธิ ขึ้นได้ไม่ยาก
ก็จะแปลงตัวเป็นผีเสื้อ
บินอยู่เหนือโลกธรรมนั่นเอง
วิปัสสนาใช้ตัวรู้เป็นอารมณ์
ถ้าเรามาจับตัวรู้ที่รูป
เอาจิตมาตั้งที่รูป เรียกว่าสมถะ
ถ้าเอาจิตมาตั้งที่ตัวรู้
เรียกว่าวิปัสสนา
ถ้าเอาจิตมาตั้งที่รูป
จิตก็สงบได้เหมือนกัน
แต่สงบชั่วคราว
เพราะมันไม่เกิดปัญญา
เป็นการสะกดให้มันอยู่กับรูป
เช่นเอารูปต่างๆ มาเป็นกสิณ
กสิณสีขาว สีแดง กสิณสีเขียว
เอาพระพุทธรูปจินตนาการไว้ในใจ
หรือเราสร้างคำพูดบริกรรมขึ้นมา
แล้วเอาจิตไปไว้ตรงนั้น
จิตก็สงบได้เหมือนกัน
แต่เป็นสมถะ
แต่วิปัสสนาเอาตัวรู้ที่เรากำลังทำ
มาเป็นที่ตั้งของจิต
เรายกมือ เรารู้
ไม่ได้เอาจิตมาตั้งที่มือ
แต่เอาจิตมาตั้งกับตัวรู้สึกที่เกิดกับมือ
เราเดิน ไม่ใช่เอาจิตไปตั้งที่เท้าหรือที่ขา
แต่เอาจิตไปตั้งที่ความรู้
ที่เกิดจากการเคลื่อนของขา
เอาตัวรู้เป็นนิมิต เอาตัวรู้เป็นอารมณ์
เรียกว่าเอาตัวปรมัตถ์เป็นอารมณ์
เพราะตัวรู้เป็นปรมัตถ์
แต่พอเอาตัวรูปเป็นอารมณ์
เรียกว่าเอาสมมติเป็นอารมณ์
เป็นสมถะ เรียกว่ารูปทำนามทำ
รูปมันทำงานก็รู้ นามมันทำงานก็รู้
แต่ถ้าเราเข้าไปเห็นการทำงาน
ของรูปกับนาม ทำงานด้วยกัน
มันก็กลายเป็น รูปธรรม นามธรรม
แต่ต้องเห็น ”ทำ” คือการกระทำก่อน
มันถึงจะเกิด “ธรรม”
จิตว่างแบบสมถะหรือวิปัสสนา
จิตว่างแบบอวิชชา
ถาม:
บางขณะ จิตมีอารมณ์ว่าง
แต่ว่างแบบแห้งแล้ง
ไม่ชุ่มชื่นเบิกบาน
เพราะอะไรครับหลวงพ่อ
ตอบ:
ความจริง ขณะนั้น
จิตมิได้ว่างอย่างที่เข้าใจ
แต่มีอุบกขาเวทนาเป็นอารมณ์อยู่
แต่มิใช่ว่างแบบอุเบกขาสัมโพชฌงค์
คือการมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยมขณะนั้นๆ
จิตจึงว่างจากการปรุงแต่งขณะนั้นๆ
แต่มิได้ว่างจากอารมณ์
แต่ว่างแบบอุเบกขาเวทนา
คือว่างแบบไม่รู้
หรือเป็นความว่างของอวิชชา
ต่างจากอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ซึ่งเป็นความว่างแบบรู้
หรือว่างของวิชชานั่นเอง
หยุดคิดต่างกับเห็นคิด
สงบแบบสมถะหรือวิปัสสนา
ในเรื่องของวิปัสสนา
ต้องการธรรมชาติมาก
เพราะจิตของเรา
ถูกครอบงำด้วยสิ่งปรุงแต่ง
ของอาหาร สิ่งแวดล้อม
รูป เสียง กลิ่น รส
จิตถูกเขย่าด้วยคลื่น
ของสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติ
ทำให้จิตกระเพื่อม
แต่พอจิตของเราอยู่กับธรรมชาติมากๆ
จิตก็จะสงบตามธรรมชาติ
เราต้องการความสงบโดยธรรมชาติ
ไม่ใช่สงบจากอารมณ์
หรือการกระทบของ รูป เสียง กลิ่น รส
แต่สงบจากกิเลส การปรุงแต่ง นิวรณ์
เราเคยนั่งง่วงเหงาหาวนอน
ติดสงบแบบไม่มีอารมณ์
แต่พอเราปลุกให้อารมณ์ตื่นตัวขึ้น
ก็สงบจากนิวรณ์ ความตื่นรู้ปรากฏ
ความสงบแบบนี้เป็นวิปัสสนา
แต่สงบจากอารมณ์
สงบจากการกระทบ
สงบจากการไม่ต้องรู้
ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน
รู้แบบนิ่งๆ
เป็นวิถีของสมถะแบบพราหมณ์
สงบจากการรบกวน
ของนิวรณธรรมต่างๆ
สงบจากการรบกวนปรุงแต่ง
ของอารมณ์ต่างๆ
เป็นสงบแบบวิถีวิปัสสนา
ฌานเป็นรูป(สมมติ) ญาณเป็นนาม(ปรมัตถ์)
นักปฏิบัติที่จิตยังอยู่ในระดับฌาน
เล่นไปนานๆ ก็เสื่อม
เพราะเป็นธรรมที่ยังเกี่ยวข้อง
ด้วยอารมณ์ที่เป็นรูป
ซึ่งจะต้องเปลี่ยนไป
ตามกฎของไตรลักษณ์เสมอไป
จะเสื่อมช้าหรือไวเท่านั้นเอง
แม้แต่พระอนาคามีบางเหล่า
ก็ยังข้องอยู่กับอารมณ์ที่เป็นรูป
ซึ่งต้องได้ไปเกิด
ในพรหมชั้นสูงอีกครั้ง
ก่อนจะเข้าสู่นิพพาน
แต่ผู้เล่นในญาณ
จิตจะไม่เสื่อมง่ายๆ
วิปัสสนาญาณ ไม่เกี่ยวข้องด้วยรูป
แต่เข้าสู่อารมณ์ปรมัตถ์ล้วนๆ
ซึ่งเป็นนามที่อยู่เหนือ
กฎของไตรลักษณ์
ดังนั้นในเบื้องต้น ผู้ปฏิบัติใหม่
ต้องทำความเข้าใจกันบ่อยๆ
เพื่อจะได้ทำใจให้ถูกขณะปฏิบัติ
แล้วจึงจะปฏิบัติได้สนุก
ถ้าปฏิบัติไปด้วยอารมณ์
ที่ฝืดและฝืน
กว่าจะผ่านไปได้เจ็ดวัน
ก็แทบตายทีเดียว
เหมือนเราติดคุก
แต่ถ้าทำด้วยความเข้าใจ
มันจะสนุกเพลิดเพลิน
บางคนก็มาขอปฏิบัติต่ออีกเจ็ดวันก็มี
นิ่งแบบโมหะจิต นิ่งแบบฌาณจิต
ติดสงบในฌาณเหมือนเด็กติดเกมส์
ถ้าเรารู้จักเล่นกีฬาทางจิตใจ
ก็สนุกเหมือนเล่นเกมส์
เช่นตอนนี้ ญาติโยมกำลังนั่งปฏิบัติ
พระก็นั่งปฏิบัติเหมือนกัน
แต่ในใจของแต่ละคน
อาจจะรู้สึกไม่เหมือนกัน
ผู้มีประสบการณ์ในการปฏิบัติมามากกว่า
ก็ทำจิตให้สนุกไปกับการปฏิบัติได้ง่ายกว่า
แต่ผู้มาปฏิบัติใหม่ยังทำใจไม่เป็น
ก็จะรู้สึกฝืดฝืนในขณะนั่งปฏิบัตินานๆ
อาจจะคิดถึงงานอื่นหรือเรื่องอื่นเข้ามาแทน
ไม่รู้สึกสนุกในการปฏิบัติ
ก็เกิดการขัดแย้งในใจ
ความทุกข์ทรมานใจก็ตามมา
เพราะในชีวิตจริง
เราไม่เคยนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานานๆ
เคยไปทำแต่งานที่เกี่ยวกับวัตถุ สิ่งของ
ก็รู้สึกเพลินไปกับสิ่งนอกกาย
พอมาทำกับนามธรรม
หรือสิ่งที่อยู่ในกายในใจ
เลยวางใจยาก หรือวางความรู้สึกไม่เป็น
พระผู้มีประสบการณ์ในการทำสมาธิ
พอได้โอกาสนั่งนิ่ง ท่านก็เล่นฌาน
มีความสุขในสมาธิ
แล้วก็เสพติดในฌานได้เช่นกัน
เหมือนเด็กติดเกมส์
แต่พระที่ชำนาญในงานวิปัสสนา
ท่านก็เล่นกับญาณ หรือวิปัสสนาญาณ
ด้วยการวิจัยธรรมต่างๆ
ที่กำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่
และดับไปตลอดเวลา
ยิ่งปฏิบัตินานไป
ก็ยิ่งชำนาญในวิปัสสนาญาณมากขึ้น
แบบนี้จะเป็นการทำตรงเป้าหมาย
ของพระพุทธศาสนามากที่สุด
พระพุทธยานันทภิกขุ
One thought on “เหนือสมถะยังมีวิปัสสนา”
Comments are closed.