รู้ไม่ทันรูปนาม กลายเป็นนามรูป
ความรู้สึกตัวที่เราสัมผัสไ
ความสบาย ไม่สบาย
เมื่อเรารู้สึกแล้ว
มันจะไม่เปลี่ยนเป็นตัวนามร
ถ้าเรารู้ทันรูปนาม
ก็จะไม่เปลี่ยนเป็นนามรูป
แต่ถ้าเราจับความรู้สึกตัวไ
ตัวรูปนามก็จะเปลี่ยนแปลง
เป็นนามรูป
น้ำก็จะไปปนกับน้ำมัน
เพราะมันซึมหากัน
กายก็ไปปนกับใจ
ใจก็ไปปนกับกาย
การที่ปนกันเรียกว่านามรูป
เบื้องต้นให้รู้รูปนาม นามรูปให้ดี
รู้จักกาย รู้จักความคิด
ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ถ้าเราไม่ดูทั้ง ๒ อย่างให้ชัด
กายกับใจก็รั่วเข้าหากัน
กลายเป็นความรู้ที่เป็นความ
นามรูปเหมือนฟิล์มภาพยนตร์
นามรูป คือการสร้างความคิดขึ้นมา
เหมือนฟิล์มภาพยนตร์
ภาพนิ่ง เรียกว่านามรูป
เมื่อภาพเริ่มเคลื่อน
ก็กลายเป็นสังขาร วิญญาณ
ความรู้สึกกาย คือความรู้สึก
เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
ความรู้สึกใจ คือความรู้สึก
สบาย ซื่อๆ เฉยๆ
เป็นความรู้สึกที่ยังไม่มีอ
เหมือนจอหนังก็คือจอหนัง
แสงก็คือแสง
ยังไม่มีภาพอะไร
เป็นแสงสว่างขาวๆ เฉยๆ
แต่พอเราเปิดเครื่องฉายภาพย
ก็เกิดภาพนิ่ง
โดยมีฟิล์มเป็นตัวบันทึก
ตัวอวิชชาตัณหาเริ่มปรากฏ
พอเราเผลอ ภาพนิ่งในฟิล์มก็ปรากฏ
เป็นอวิชชา เกิดนามรูป
พอภาพมันเคลื่อน
ก็กลายเป็นตัณหา
นามรูปนั้นก็ทำหน้าที่ไปเรื
เป็นสังขาร วิญญาณ
อายตนะ ผัสสะ เวทนา…
ลืมกาย ได้นามรูป
ความรู้สึกที่เป็นเวทนาทางก
สบาย ไม่สบาย ยังไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเราชอบ ไม่ชอบขึ้นมา
ก็เกิดปัญหา
นามรูปก็ปรากฏ
ให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวข
ระหว่างเคลื่อนไหว
คอยสังเกตความแปรปรวนภายในร
รู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
มากบ้างน้อยบ้าง
ออกมาเป็นทุกข์
ความไม่สบายทางกาย
หน้าที่ของเราคือดูแลเอาใจใ
ปรับแก้ไปเรื่อยๆ
รักษาสภาพจิตให้รู้
มันก็จะทำหน้าที่รู้ร่วมกัน
เป็นสติสัมปชัญญะ
โดยมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อ
เข้าไปแก้ไขอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ในกาย
ที่ออกมาเป็นเวทนาต่างๆ
ปรับแก้ความไม่สบายออกไป
จิตก็นิ่ง สบาย เบา โปร่ง
ร่างกายก็รู้สึกไม่หนัก ไม่หนืด สบาย
แทนที่จะเป็นตัวนามรูป
ก็เปลี่ยนมาเป็นสติสัมชัญญะ
เพลิน เผลอ เจอนามรูป
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ
นามรูปก็เกิดไม่ได้
ถ้าเราเผลอไปคิด
ก็เป็นนามรูป
สติสัมปชัญญะก็ขาด
ไม่ต้องไปเพลิน
ถ้าเพลินสบาย
ก็ไม่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ
เป็นตัณหา
ถ้าเพลินไม่สบาย
ก็อยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ
เป็นวิภวตัณหา
เผลอนิดเดียวก็กลายเป็น
ความพอใจไม่พอใจ
ก่อนที่จะเผลอ
จะเพลินเสียก่อน
เวทนานำพาสู่ปรมัตถ์
ปฏิจจสมุปบาทแบบย่อ
พระพุทธยานันทภิกขุ