เป็นกลางระหว่างสงบกับฟุ้งซ่าน
การสอบอารมณ์ หมายถึง
การนำเอาการปฏิบัติมาศึกษา
วิเคราะห์ดูว่ามีอารมณ์อะไรบ้าง
ช่วงแรกก็จะมีนิวรณ์เข้ามา
มันก็วิ่ง ก็ดิ้น ตามความเคยชิน
ระหว่างจิตที่มันดิ้นไปหาความเคยชิน
กับการดึงให้มันอยู่กับที่
เราต้องประคองจิตให้เป็นกลาง
คือไม่ให้ดิ้นไปหาความฟุ้งซ่าน
และไม่บังคับจิตให้อยู่กับที่
ในการทำให้ลงตัวระหว่างกลางได้
ดังนั้นต้องสร้างตัวผู้รู้ขึ้นมา
เพื่อทำให้จิตอยู่ระหว่างกลาง
พอเราไปบังคับให้อยู่กับที่
กับนิวรณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น
เพื่อหาความลงตัว
หรือความเป็นกลาง
ศึกษาว่าวันนี้อารมณ์อะไรเข้ามา
ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ปวดเมื่อย
ขึ้เกียจ สงบ
ศึกษาเพื่อก้าวผ่านไปให้ได้
บางเรื่องเราก็ต้องสอบหลายครั้ง
การเฝ้าดู เฝ้าสังเกต หาทางผ่าน
ใช้สติตรวจสอบจิต คือวิธีชำระจิต
ในการปฏิบัติที่ถูกต้อง
ไม่ต้องไปรู้อะไรมากหรอก
เพียงแต่ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อม
ให้ชัดๆ ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ต้องอยากรู้อยากคิดโดยไม่จำเป็น
ไม่ปล่อยให้จิตคิดอะไรขึ้นมาได้ง่ายๆ
แต่ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมา
ก็ต้องเฉลียวใจตรวจสอบทันที
ไม่ปล่อยให้ลอยนวลเหมือนแขกเข้าบ้าน
แต่ละขณะที่มีความคิดเข้ามาในจิต
ทั้งที่เป็นความคิดดี กุศลจิต
และความคิดไม่ดี อกุศลจิต
ก็ต้องตรวจสอบกันก่อน
ไม่ควรอนุญาตให้เข้ามา
คิดเพ่นพ่านโดยไม่จำเป็น
เสมือนปล่อยให้คนแปลกหน้า
เข้ามาเดินเล่นในบ้านโดยไม่ใส่ใจ
อะไรจะเกิดขึ้น อันตรายแน่!
บางครั้งมีอารมณ์และความคิดแรงๆ
เข้ามาโจมตี เข้ามาสู่ใจอย่างตั้งตัวไม่ทัน
เราต้องกระตุ้นความรู้สึกตัวของเรา
ให้ชัดเจนเป็นพิเศษทันที
และดึงจิตกลับมาสู่ฐาน
ของสติปัจจุบันให้ทันกาล
อย่าละเลยหรือประมาทความคิดเป็นอันขาด
ให้พยายามทำความรู้สึกตัวด้วยความมั่นใจ
รู้สึกให้ชัดและรู้สึกให้เบาสบายเสมอ
ความสงบไม่ใช่เป้าหมาย
การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้
ไม่เน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง
แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
เมื่อทุกขเวทนาทางกายเพิ่มมากขึ้น
เราพอทนได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
เพราะจิตอาจวิ่งเข้าหาความสงบ
อยู่แค่ ๒ อารมณ์นี้เท่านั้น
เรียกว่า นันทิราคะ คือเพลิน
แต่ทางที่ถูก เราควรเฝ้าดู
ที่เปลี่ยนเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง
ถ้าเรามัวเพลินในสุขในทุกข์
ดังนั้น ให้เริ่มตามรู้รูปนามให้ชัดไว้เสมอ
อย่ายุ่งกับความสงบหรือไม่สงบมากนัก
แต่ให้เห็นเหตุของมันเสมอ เห็นจนชำนาญ
แล้ววิปัสสนาญาณจึงมีโอกาสพัฒนาได้
พระพุทธยานันทภิกขุ