สังโยชน์ คือความพอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ
เมื่ออายตนะหกทำงานร่วมกันคือ
เวทนาทั้งสามจะเกิดขึ้นทันที
ความรู้สึกนั้นคือพอใจ ไม่พอใจ
เป็นภาษาตำราว่า “สังโยชน์”
เพราะดอกไม้อาจจะเหี่ยวหรือไม่สวย
สุขเวทนาก่อให้เกิดโสมนัส อภิชฌา กามราคะ
แต่ไม่เกิดบัญญัติขึ้นในใจว่า
“ชอบหรือไม่ชอบ หรือ เฉยๆ”
ไม่มีแม้กระทั่งภาษาบัญญัติ
“นี่คือรูป หรือนึกว่านี่สักแต่ว่ารูป”
แต่รู้สึกว่าเห็นก็คือเห็น
(เรียกภาษาบัญญัติว่า “สักแต่ว่า”)
ความพอใจในความรู้สึกทางกาย
(จิตใต้สำนึก = Subconscious)
เก็บสะสมมากเข้าๆ จนมีกำลัง
แม้จะเกิดในอายตนะส่วนอื่นๆ
เช่น เสียงกระทบหู เป็นต้น
ก็พัฒนาตัวเป็น “กามฉันทะ”
แต่ในกรณีที่คนผู้ได้ปฏิบัติมาแล้ว
อาการของความรู้สึกยินดี พอใจ
จิตก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
กามฉันทะก่อให้เกิดกามราคะ
โดยเฉพาะรูปอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความรักความใคร่ในอารมณ์
ที่ขาดการกำหนดรู้ทั้งสิ้น
กลิ่นหอมๆ กระทบจมูก ก็พอใจ
รสอร่อยๆ กระทบลิ้น ก็รู้สึกพอใจ
สัมผัสนิ่มนวลกระทบกาย ก็พอใจ
ความรู้สึกพอใจที่เกิดขึ้น
เพราะกามฉันทะนั่นเอง
เพราะไม่ใส่ใจต่อการเจริญวิปัสสนา
ความพอใจเกิดขึ้นทุกเวลานาทีนี่เอง
ยิ่งเป็นของแข็งมากระทบกัน
อำนาจของความอยาก ความพอใจ
ในอัตราความเร็วและความแรงสูง
เช่น การได้ทานอาหารรสจัดๆ
หรือได้ฟังดนตรีที่ไพเราะถูกใจ
กระตุ้นให้เกิดความพอใจอย่างสูง
ก่อให้เกิดกามราคะในที่สุด
กามตัณหาเหมือนไฟไหม้ป่า
ก็ไม่เกิดความรู้สึกกลัวโทษ
เกิดการแสวงหาความรู้สึกพอใจ
ในรูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส
ที่ทำให้เกิดความพอใจยิ่งๆ ขึ้นไป
ของการแสวงหาในรูปแบบต่างๆ
มีความหวัง อุดมการณ์ การวางแผน
คือ รูป เสียง กลิ่น รส อารมณ์
เป็นความพอใจ เรียกว่า “อภิชฌา”
ไม่ได้พบกับกัลยาณมิตรทางธรรม
จึงอยู่ด้วยอำนาจของกามตัณหา
เหมือนไฟไหม้ป่า ไฟไหม้บ้าน
ตราบใดไม่หมดเชื้อ มันก็ดับไม่ได้
กามตัณหาลุกลามเป็นโลภจริต ราคานุสัย โลภานุสัย กามุปาทาน
มีกำลังกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
ขาดการภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนา
เพราะไม่ได้พบกับกัลยาณมิตร
ราคานุสัยและโลภจริตในที่สุด
มันก็หยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ
แห่งความอยากอย่างต่อเนื่อง
คือรากเหง้าของความโลภชนิดต่างๆ
จึงก่อให้เกิดการสั่งสม แย่งชิง ลักขโมย
จี้ ปล้น ฉ้อฉล คดโกง เห็นแก่ตัว เป็นต้น
อันเป็นผลเนื่องจาก ความโลภ ความอยาก
จนพัฒนาเป็นกามุปาทานในที่สุด
เมื่อความยึดถือตั้งมั่นเป็นนิสัยแล้ว
ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมและบุคลิก
โน้มไปในความโลภอย่างรุนแรง
จนเป็นตัณหานุสัย-โลภานุสัย
ก่อให้เกิดการคุ้มครอง ยึดครอง
ที่ได้มาด้วยความอยาก ความพอใจ
แสวงหาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
มาไว้เป็นสมบัติ เช่น ข้าวของ เงินทอง
สามี ภรรยา ลูก หลาน เป็นต้น
ใช้เวลาในการแสวงหาได้ทั้งคืนทั้งวัน
จะหนักเบา เท่าไหร่ ไม่กลัว
ขอให้ได้อย่างใจ อย่างตนชอบ
จนพัฒนาเป็นกามสุขัลลิกานุโยค
กามุปาทานกลายเป็นกามาสวะ
เมื่อไม่มีเวลาไม่มีโอกาสได้ศึกษาธรรม สดับธรรมจากพระอริยเจ้า และกัลยาณมิตรผู้รู้จริง ขบวนการของความอยากก็พัฒนาต่อไป จนฝังแน่นติดเป็นอุปนิสัย เป็นสันดานแห่งความอยาก ก่อให้เกิดอกุศลกรรมต่างๆ ความประมาทขาดสติก็ตามมา ความผิดพลาดต่างๆก็ตามมา ความทุกข์ตามมา วิบากกรรมตามมา
เมื่อความอยากได้ฝังหมุดลงในจิตใจของสรรพสัตว์ก็ยากที่จะไถ่ถอนได้ ถ้าเป็นฝุ่นผงหรือตะกอนก็จะทับถมสะสมเป็นตะกลัน จึงเรียกความพอใจที่แสนจะละเอียดแนบเนียนนี้ว่า “กามาสวะ” คือเป็นความเคยชิน เรียกว่า “อาสวัฏฐานียธรรม” ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียด ครอบครองหัวใจสัตว์ทั้งหลาย ให้ได้ติดในความอยาก ความรัก ความใคร่ ความเสน่หาอาลัย เรียกว่า กามารมณ์ อันติดเป็นนิสัยสันดาน เป็นบุคลิก พฤติกรรม เป็นสัญชาตญาณในที่สุด
รากเหง้าของความอยาก
ที่แสนจะละเอียดแนบเนียนนี้ว่า
“กามาสวะ” คือเป็นความเคยชิน
เรียกว่า “อาสวัฏฐานียธรรม”
ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียด
ครอบครองหัวใจสัตว์ทั้งหลาย
ความรัก ความใคร่ ความเสน่หาอาลัย
รากเหง้าของกามาสวะ
ของความสบายกายหรือสุขเวทนา
ขาดการตามรู้ ตามสังเกต ตามเฝ้าดู
ได้พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว
จนกลายมาเป็นความพอใจที่มีความเร็วสูง
หรือความอยากที่มีรากแก้วอันลึกซึ้ง
โลกจึงหมุนไปด้วยพลังของความอยาก
เมื่อรวบรวมรากเหง้าและขบวนการวิวัฒนาการของความอยากออกมาเป็นแผนที่ อาจจะทำได้ ดังลำดับการพัฒนาการของมันดังนี้
- สุขเวทนาทางกาย ที่ขาดสติตามรู้ก่อให้เกิด
- โสมนัสเวทนาความรู้สึกพอใจ
- อภิชฌา คือความรู้พึงพอใจออกมาเป็นอาการทางจิต
- กามฉันทะ ความพอใจเป็นพฤติกรรมสนองตอบความอยาก
- กามราคะ ความสนุกสนานเพลิดเพลินในความพอใจ
- กามตัณหา อาการแสวงหาความสนุกยิ่งๆขึ้นไป
- โลภจริต แสดงอาการอยากได้ออกมาเป็นพฤติกรรม คำพูดในวัตถุกาม (รูป-เสียง-กลิ่น เป็นต้น)
- ราคานุสัย ความเคยชินที่ตอบสนองความอยากโดยไม่รู้ตัว
- โลภานุสัย แสดงอาการครอบครองตัวตนของตนและตัวตนของสิ่งที่ตนรักและครอบครอง
- กามุปาทาน ความอยากพัฒนาเป็นบุคลิกและพฤติกรรม การแสดงอาการทางกาย วาจา เป็นนัยยะ เป็นสัญลักษณ์แทนความอยากได้
- กาโมฆะ คือ ตกอยู่ในห้วงอารมณ์รักใคร่ อยากได้อย่างรุนแรง เมื่อประสบกับสิ่งที่ตนเองต้องการ แล้วติดจม แช่อยู่ในความรัก ความใคร่นั้นๆ
- กามาสวะ แสดงอาการแห่งความอยาก ความรัก ความต้องการ ออกมาในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นนิสัย บุคลิก ทั้งทางกาย วาจา ใจ และก่อกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศล และอกุศลได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน
นี่คือสายโซ่แห่งการวิวัฒนาการของความรู้สึกสบายกาย เพียงชั่วขณะหนึ่งๆ แล้วขาดสติปัญญาตามรู้ มันจะพัฒนาตามแรงกระทบไปเรื่อยๆ จนครบวงจรของความพอใจจากกาย วาจา ทะลุถึงจิต และจากจิตทะลุถึงกาย แสดงออกมาทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมในที่สุด
พระพุทธยานันทภิกขุ