ต้องเห็นไตรลักษณ์นับแสนครั้ง
ที่ไหนมีรูป ที่นั่นต้องมีไตรลักษณ์
ให้สังเกตความรู้สึกต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในกายและใจตลอดเวลา
ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
เราต้องอ่านให้ชัดว่า
ความรู้สึกสุขเป็นอย่างไร
ความรู้สึกทุกข์เป็นอย่างไร
เมื่อใดความรู้สึกต่างๆเกิดกับกาย
ให้รู้สึกเสมอว่า ร่างกายมันเป็นรูป
และความจริงของรูปทุกชนิด
มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างนี้เสมอ
คือเปลี่ยนไปตามกฎไตรลักษณ์
ไม่เป็นไปอย่างอื่นเลย
ชาวพุทธเราต้องจดจำ
กฏของธรรมชาติอันนี้ให้ขึ้นใจทีเดียว
ท่านเรียกตามบาลีว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ชาวพุทธทุกคนต้องจำให้ได้
แต่เราจะเข้าใจได้หรือไม่ว่า
กฎทั้งสามมันทำงานของมันอย่างไร
ที่ไหนมีรูป ที่นั้นต้องมีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ว่ารูปนั้นจะใหญ่หรือเล็ก
หยาบ ละเอียด ปราณีต ปานใดก็ตาม
ตกอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งหมด
รู้ไม่ทันไตรลักษณ์ กลายเป็นนามรูป
ติดอารมณ์ไตรลักษณ์
เมื่อสติกับจิตตามกันทัน
ความปรุงแต่งก็ลดลงเรื่อยๆ
มาถึงจุดนี้ ผู้ปฏิบัติบางท่าน
จะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
ทุกสิ่งทุกอย่าง
อย่างไม่มีเหตุผล
เห็นความทุกข์ของร่างกาย
เบื่อตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำให้นักปฏิบัติไม่รู้เท่าทันอารมณ์นี้
อยากจะหนีไปไกลๆ ไม่อยากพบใคร
อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ
การเกิดความเบื่อหน่ายเช่นนี้
เรียกว่า”ติดอารมณ์”
(ตามภาษาที่รู้กัน เข้าใจกัน
ในวิธีปฏิบัติแบบนี้)
พระพี่เลี้ยงหรือครูบาอาจารย์
ต้องสังเกตและแก้อารมณ์ให้กับผู้ปฏิบัติ
อาจจะพูดให้ฟัง
หรือให้เทคนิคการแก้อารมณ์
ตามแบบฉบับของท่าน
ถ้าอยู่ในสำนักปฏิบัติ
ท่านก็จะให้เข้าเก็บอารมณ์
การที่จิตมาเป็นอารมณ์เช่นนี้
เรียกว่าการปรากฎของ
อารมณ์ “ไตรลักษณ์”
คือ อาการของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ที่เป็นอาการจริงๆ สัมผัสจริงๆ
ชนิดผู้ปฏิบัติก็ไม่เฉลียวใจว่า
ตนเองเป็นอารมณ์แบบนี้
จนกว่ามันจะผ่านไปแล้ว
ไม่เหมือนกับบางวิธี
การเห็นไตรลักษณ์ต้องน้อมเอา
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาพิจารณา
ซึ่งการทำเช่นนั้น
เป็นการสร้างจิตปรุงแต่ง
อีกแบบหนึ่ง เรียกว่า
“ปุญญาภิสังขาร”
คือการปรุงแต่งฝ่ายดี ฝ่ายบุญ
การปรุงแต่งจิตทุกรูปแบบ
ไม่ว่าฝ่ายดี ไม่ดี
หรือปรุงแต่งในเรื่อง
ศีล สมาธิ ปัญญา
ต้องสลัดทิ้งไปทันที
กำหนดรู้แต่ปัจจุบันก็พอ
เมื่อญาณปัญญามันถึงที่แล้ว
มันจะรู้เรื่องอะไร มันก็รู้ขึ้นเอง
โดยไม่ต้องเสียเวลาปรุงแต่งนึกคิด
เพราะนั่นไม่ใช่ลักษณะของ
ปัญญาญาณตามความเป็นจริง