ปริศนาธรรม รามเกียรติ์
คนจริงใจจะได้พบใจแท้
ความเชื่อถือตามประเพณีมีอุปสรรคมาก
จิตใจของคนเรามักถูกครอบงำ
ด้วยความคิดและสมมติต่างๆ
ในเรื่องของประเพณีทางศาสนามานาน
จึงมักคิดเอาเองว่า
พุทธศาสนาเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน
และเข้าไม่ถึง
หันไปสร้างบุญบารมีนอกพุทธศาสนา
จนไปเข้าทางศาสนาพราหมณ์ก็มาก
ด้วยความเชื่อและเข้าใจแบบนี้
เมื่อหลวงพ่อเทียนมาชี้ให้เห็น
จุดสำคัญที่ธรรมดาของรูปนาม
ซึ่งนักปฏิบัติบางคนอาจมองไปว่า
เป็นเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ
ไม่รู้ว่าจะนำมาสอนกันทำไม
ความรู้สึกตัวที่แสนจะธรรมดา
และง่ายดายเช่นนี้
นักปฏิบัติบางคนที่เจริญสติ
แบบไม่จริงใจ
ก็ไม่สามารถสัมผัสอารมณ์รูปนาม
ได้ง่ายๆเหมือนกัน
แม้แต่พระพุทธองค์เอง
ก็ทรงท้อพระทัย
ในครั้งแรกที่จะเผยแผ่เรื่องนี้
ถึงกับตั้งใจว่า
จะไม่เผยแผ่สั่งสอนเรื่องนี้กับใคร
จนเป็นเหตุให้ท้าวสหัสบดีพรหม
ซึ่งหยั่งรู้ถึงความตั้งใจ
ของพระองค์ในตอนนั้น
รีบมาเฝ้าและอาราธนาทูลเชิญ
ให้ทำการเผยแผ่สัจธรรมแก่สรรพสัตว์
เผื่อว่าบางคนที่มีกิเลสในจิตใจ
เหลือน้อย จะรับได้
พระองค์จึงรับอาราธนา
และเผยแผ่คำสอนตั้งแต่นั้นมา
มุ่งสงบอย่างเดียวเป็นพราหมณ์
นักปฏิบัติส่วนมาก
พยายามทำจิตให้สงบ
หรือพยายามที่จะสะกดจิตให้สงบ
นั่นไม่ใช่วิปัสสนา
ตามแนวทางของพุทธ
แต่เป็นแนวทางของพราหมณ์
หรือฮินดู
ในกระแสพุทธนั้น
ไม่ได้มุ่งที่ความสงบ
หรือไม่สงบของจิต
แต่มุ่งทำความเข้าใจสภาวะจิต
ทั้งที่สงบและไม่สงบ
ให้เข้าใจทั้งสุขและทุกข์
ความพอใจไม่พอใจ
ซึ่งต่างก็เป็นทางที่สุดโต่ง
ทั้งสองข้าง
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกระแสที่สาม
เรียกว่า ทางสายกลาง
คือความรู้สึกเฉยๆ
หรือตัวรู้สึกที่ทำหน้าที่เป็นผู้รู้
ผู้สังเกตเห็นอาการของจิตทั้งสองนั้น
อีกทีหนึ่ง
เป็นกระแสแห่ง “อริยมรรค”
วิธีสังเกตว่าเราติดสมถะหรือไม่
การที่ติดสมถะจะกลัวความคิด
กลัวจิตปรุงแต่ง
เพราะมันจะไปรบกวนจิต
รบกวนความสงบสุขที่มี
เพราะยังไม่เกิดปัญญา
หรือวิชชาที่จะบริหารความคิดได้
ต้องให้โอกาสตัวเอง
ในการฝึกความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
จนกว่าจิตจะเปลี่ยน
เป็นวิปัสสนาได้ในวันหนึ่ง
เมื่อกุศลจิตเจริญมากพอ
การที่จิตไม่ปรุง
ด้วยอำนาจของสมถะ
ไม่ถือว่าเป็นวิสังขารจิต
เพราะไม่ประกอบด้วยญาณปัญญา
วิสังขารจิต จะเกิดได้
ด้วยญาณปัญญาเท่านั้น
ใครติดสมถะจะโชคร้าย
เพราะกุศลไม่เจริญงอกงาม
เมื่อกุศลจิตไม่เจริญ
ญาณปัญญาก็เกิดไม่ได้
เพ่งเป็นพราหมณ์
การเพ่งไม่ให้จิตไปรับรู้
อาการสบายไม่สบาย หนักหรือเบา
รับรู้แค่จิตนิ่งๆ อย่างเดียว
ตรงนี้กลายเป็นสมถะไปเลย
ซึ่งไม่ใช่ทางของพุทธ
เป็นทางของพราหมณ์
เราพลาดจุดนี้เอง
เราปฏิบัติสมถะ
แต่เข้าใจว่าเป็นวิปัสสนา
นี่คือข้อบกพร่องของมัน
ก็ต้องแก้จากตัวสมถะมาเป็นว
แทนที่จะไปรู้นิ่งๆ
รู้โดยที่ไม่รับรู้ต่ออาการ
ให้มารับรู้ต่ออาการอย่างอื
แล้วก็ปรับ
เราไปรู้อาการสุข อาการทุกข์
อาการสบาย ไม่สบาย
เพื่อปรับส่วนที่เกินออก
ถ้าหนักเกินไป
แต่ถ้าปรับในส่วนที่เกินออก
ก็กลายเป็นสัญชาตญาณไปอีก
ชัดต่างจากเพ่ง
พรหมยังอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
สุขเวทนาเป็นที่มาของคำว่าสวรรค์
สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นมาจากเวทนาทั้ง ๖ นั่นเอง
เวทนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ้าเราไปติดสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สวรรค์ ๖ ชั้นเกิดขึ้นทันที
พอเวลาไปประสบกับสิ่งที่ตรงกันข้าม
ความไม่พอใจในการเห็นรูป ได้ยินเสียง
ได้กลิ่น ลิ้มรส ไม่พอใจในอารมณ์
เกิดนรกทันที
เพราะฉะนั้น
ประตูนรกกับประตูสวรรค์
อยู่ประตูเดียวกัน
จะเปิดบานซ้ายหรือบานขวาเท่านั้นเอง
บางคนความพอใจก็ไม่อยากได้
ความไม่พอใจก็ไม่อยากอยู่
ฉันจะสงบอย่างเดียว
ไปสู่ความสงบตั้งแต่ฌาณ๑ ถึงฌาณ๘
กลายเป็นพรหม ๑๖ ชั้น
ความละเอียดของชั้นจิตมากขึ้นไป
ก็ยังหลุดพ้นไม่ได้
จุดสูงสุดของศาสนาพราหมณ์คือพรหม
ยังอยู่ในหลักของไตรลักษณ์อยู่ดี
ติดสุขเป็นพราหมณ์
The majority of Thais are Buddhists but only understand Buddhism outside of the Mind-Body nature. Their lack of genuine understanding mostly leads them become like Brahman which is considered another religion and meditate with obsession, absent mind, or addiction (to calmness and blissfulness that come with meditation). In fact, Buddhism is a study of our own physical, verbal and mental actions and a teaching that life should be perceived as a miracle; something precious a person should nurture and live it to the most virtuous manners.
ติดสุขไม่เห็นไตรลักษณ์
หากเรายังไม่ชำนาญ
ในการพิจารณาไตรลักษณ์
ยังเห็นทุกอย่างเป็นสมมติอยู่
เราต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ
บางครั้ง ปฏิบัติไป
จิตเข้าสู่ภาวะสงบสุขอย่างประหลาด
เราก็ไม่อยากจะพิจารณาอะไร
ให้จิตฟุ้งซ่าน
เราอยากจะหยุดจิต
ไว้ตรงนั้นนานๆ
จิตก็จะติดในความสงบอันนั้น
เกิดความยินดี พอใจ
กับความสงบสุขนั้น
มันก็จะกลายเป็นอารมณ์สมถะ
ซึ่งจะทำให้การเจริญสติแบบนี้
ไม่ก้าวหน้า
เพราะเป้าหมายของวิปัสสนา
มุ่งไปที่การรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งต่างๆ
ตามความเป็นจริง
ถ้าจิตของเรายังติดยึดในความสุข
ก็ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสุข
เราต้องสลัดจิต
ออกจากอารมณ์อันนั้นให้ได้
อย่ารู้สึกเสียดาย
แล้วเราจึงจะเห็นอารมณ์ไตรลักษณ์
ตามความเป็นจริง
จิตต้องมาอยู่ในสถานะที่เป็นกลาง
จึงจะเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
แทนที่เราจะเป็น
ผู้เป็นอารมณ์ที่กำลังเกิด
แม้ว่าจะเป็นอารมณ์ดี หรือ ไม่ดี
สงบ หรือ ไม่สงบ
ถ้าเราตั้งใจปรับอย่างรู้เนื้อรู้ตัว
เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของเวทนา
ก็เกิดเห็นไตรลักษณ์ขึ้นมา
เราจะรู้เรื่องไตรลักษณ์หรือไม่ก็ตาม
แต่เฝ้าดูการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ของอาการต่างๆ ที่ปรากฏ
ก็เป็นวิปัสสนา
แต่ถามว่าเรารับรู้อย่างนี้ชัดเจน
และต่อเนื่องหรือไม่?
ไม่ชัดเจนและไม่ต่อเนื่อง
บางครั้งรู้ บางครั้งไม่รู้
ก็ต้องเข้ามาแก้ตัวนี้
การเข้าไปรับรู้ชัดเจนและต่อเนื่อง
ท่านจึงเอาตัวสติสัมปชัญญะ
ในสติปัฏฐาน เข้ามาประกอบ
สติสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน
ต่างจากสติสัมปชัญญะทั่วไปอย่างไร?
สติสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน
ท่านบอกว่า “อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
วิเนยยะโลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง”
ต้องมีอาตาปี เฝ้าดู สังเกต อย่างต่อเนื่อง
ถ้าสังเกตบ้าง ไม่สังเกตบ้าง
ไม่เป็นอาตาปีแล้ว
สังเกตอย่างต่อเนื่องด้วยลักษณะ
ให้รู้ตัวทั่วพร้อม
รู้ตัวทั่วพร้อมแล้ว
ต้องแก้ไขอาการสองอย่างได้ คือ
อภิชฌาและโทมนัส ชอบและไม่ชอบ
หนักและเบา
ต้องแก้ไขออกไปในส่วนที่มันเกิน
ถ้านั่งไปนานๆ เราเพลิน
รู้สึกร่างกายไม่หนักแต่รู้สึกเพลิน
สบายกายแต่ใจเป็นอภิชฌาไปแล้ว
ทำให้เพลิน ทำให้ติดใจ ไม่อยากเปลี่ยน
เป็นอภิชฌาไปเรียบร้อยแล้ว
อยากจะนั่งไปอย่างนั้นเรื่อยๆ ไม่อยากเปลี่ยน
บางทีเผลอ อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย
ผิดทั้งกายและใจแล้ว มันเป็นสมถะไป
คือเปลี่ยนเลย
จะต้องตามดูว่าจะเปลี่ยนอย่างไร
และเปลี่ยนแล้วเกิดอะไรขึ้น ปรับให้มันสบาย
ท่านไม่ได้ห้ามการเปลี่ยนแปลง
แต่การที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เราใช้ความหมายว่าต้องอดทน ต้องอดกลั้น
ต้องอธิษฐานว่าไม่พลิก ไม่เปลี่ยน
เป็นอาการของสมถะทั้งหมดเลย
แต่อาการที่พระพุทธเจ้าอธิษฐานว่า
ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้ แม้เลือดเนื้อเอ็น
จะแตกดับเหือดแห้งไปก็ตาม
ฉันจะไม่ลุกจากที่นี่
แต่ท่านไม่ได้บอกว่าฉันจะไม่เปลี่ยน
ท่านบอกว่าจะไม่ออกจากที่นั่นเท่านั้น
ท่านจะเปลี่ยนอย่างไรเป็นเรื่องของท่านแล้ว
แต่เราไปตีความหมายว่า
นั่งแบบไม่พลิก ไม่ลุกเลย ซึ่งมันก็ผิดแล้ว
เพราะเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
เราก็ไม่เข้าใจความหมายว่า
ท่านบอกว่าท่านไม่ออกจากที่นั่น
แต่ท่านไม่ได้บอกว่า
ท่านจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
ท่านจะเปลี่ยนอิริยาบถเท่าใดไม่มีใครรู้
ท่านอาจจะนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งคืน
แต่ท่านก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างที่เราเปลี่ยนกัน
ท่านทำสมถะตามอาจารย์อื่นๆ มานานแล้ว
ท่านจะทำอีกทำไม
ท่านเห็นว่าทางที่นั่งโดยไม่พลิกไม่เปลี่ยน
ไม่เคลื่อนไหว ด้วยความอดทน
ท่านทำมาแล้วตามอาจารย์เจ้าลัทธิอื่นๆ
ท่านก็เลยลองมาเปลี่ยนแบบนี้บ้าง
แต่ที่ท่านอธิษฐานคือ
ท่านอธิษฐานว่า ถ้าไม่รู้เรื่องนี้
จะไม่ลุกออกจากที่นี่
แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอิริยาบถ
ตรงนี้สงสัยว่าเข้าใจผิดแน่นอนเลย
จะเอาแต่เรื่องจิตอย่างเดียวไม่ได้
เพราะอาการเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
ที่จิตรับรู้ได้ มาจากกาย
ต้องเริ่มต้นจากกายด้วย
จากนั้นมาอาตมาก็ปรับหลักสูตรมาเรื่อยๆ
ปรับเรื่องการออกกำลังกาย ลมหายใจ
การปรับเปลี่ยนอิริยาบถ การสังเกต
ปรับเรื่องสมถะที่เอื้อต่อวิปัสสนา
สมถะที่ไม่เอื้อต่อวิปัสสนาก็มี
ที่เราแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้
เป็นสมถะที่เอื้อต่อวิปัสสนา
แก้ไขปัญหาทางกาย
หนักเป็นเบา เบาเป็นหนัก
หนาวเป็นร้อน ร้อนเป็นหนาว
มาปรับให้มันพอดี
การปรับให้พอดีทางร่างกาย
เป็นสมถะที่เอื้อต่อวิปัสสนา
แต่การไม่ปรับร่างกาย
ปรับแต่จิตให้นิ่งอย่างเดียว
เป็นสมถะที่ไม่เอื้อต่อวิปัสสนา