บทเรียนการสอนแรก
แบบเซนของหลวงพ่อเทียน
ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้พบกับหลวงพ่อเทียน
ที่วัดสวนแก้ว อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
โดยอาจารย์โกวิท เขมานันทะ
ในปัญหาที่ตนเองสงสัยมานานว่า
“อารมณ์รูปนามแบบสติปัฏฐานแท้ๆ นั้น
เพราะผู้เขียนเคยไปฝึกกรรมฐาน
กับสำนักอาจารย์ต่างๆ มาหลายสำนัก
แต่ละสำนักจะมีคำถามที่ใช้สอบอารมณ์
“ท่านรู้จักรูป รู้จักนาม แล้วยัง?”
เมื่อผู้เขียนตอบด้วยคำตอบเดิมทุกครั้งว่า
ที่ได้คำตอบยืนยันกลับมาว่า
คำตอบกลับมาแบบนี้ มันผูกมัดบีบคั้นจิตใจ
ที่ได้จากอาจารย์กรรมฐานท่านก่อนๆ ว่า
เป็นอย่างไรครับ หลวงพ่อ?”
จากอาจารย์วิปัสสนาท่านอื่นๆ มาก
ท่านหันไปหยิบเอาขวดน้ำพลาสติก
ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แล้วยกชูขึ้นมา
“ขวดน้ำนี่ ถ้าผมโยนขวดน้ำนี้ทิ้งไป
โดยไม่ปิดฝา อะไรจะเกิดขึ้น?”
“น้ำก็ไหลออกหมดสิครับหลวงพ่อ”
ผู้เขียนก็ตอบแบบซื่อๆ เหมือนกัน
“ถ้าผมปิดฝาขวดแล้วโยนขวดทิ้ง
ท่านถามพร้อมกับมองหน้าผู้เขียน
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับขวดอีกเลย
ทำให้ผู้เขียนงงเป็นอย่างมาก
เฉลยปริศนาธรรมฝาขวด
การมาพบท่านในครั้งต่อมา
มีลูกศิษย์ของท่านนิมนต์ย้ายมาอยู่ที่นั่น
และมีโอกาสได้คุยกับท่านอีกหลายครั้ง
เหมือนจะเป็นการเฉลยปริศนาธรรม
ที่ผู้เขียนเคยถามในครั้งแรก
ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ถามในเรื่องนี้
“รูปนาม มีอยู่แล้วในคนทุกคน
การรู้รูป รู้นามก็มีอยู่แล้ว
แต่เราไม่มีสติเข้าไปรู้จักมัน
คือรู้กายก็เห็นความรู้สึกของกาย
รู้จิตก็เห็นความรู้สึกของจิต
การที่เรามาเจริญสติให้เข้มแข็ง
ก็เพื่อจะได้ตามรู้มันได้ต่อเนื่องนานๆ
เหมือนเราปิดฝาขวดไว้ให้สนิท
เมื่อใดต้องการดื่มก็ดื่มได้
ก็เหมือนเติมน้ำใส่ขวดเรื่อยๆ
ล้มลงเมื่อใดน้ำก็ไหลออกหมด
ฝาขวดนี้ก็เป็นเสมือนสติปัญญา
ที่เราเจริญและพัฒนาให้มีมากขึ้น
เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสกายหรือใจ
ก็ตั้งสติตามรู้มันไปเรื่อยๆ
การรู้แบบนี้ เรียกว่า รู้รูป รู้นาม
ถ้าสติไม่เข้มแข็งก็ตามรู้ไปสั้นๆ
พยายามเจริญสติให้รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
ให้รู้มันเฉยๆ รู้มันซื่อๆ
ไม่ต้องไปคิดพะวงสงสัยอะไรให้ยุ่งยาก
มันเป็นมรรคเป็นผลในตัวของมันเองเสร็จ”
สว่างทั้งตานอกและตาใน
หลังจากได้พบหลวงพ่อเทียนในครั้งแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 จนบัดนี้ (พ.ศ.2553) เป็นเวลา 35 ปี ผู้เขียนไม่เคยไปตั้งคำถามแบบนี้กับอาจารย์ท่านไหนอีกเลย เพราะมันหายสงสัย และผู้เขียนก็ได้สมาทานการปฏิบัติแบบนี้มาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนวิธีการอีก เพราะยิ่งทำก็ยิ่งได้คำตอบที่ถูกต้องไปเรื่อยๆ สงสัยอะไรก็มีคำตอบเกิดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องไปคิดเอาเองให้ยุ่งยากปวดหัว และเป็นคำตอบสุดท้ายของทุกๆ คำถาม จึงหายสงสัยเลยว่าทำไมต้องลืมตาทำ เกิดความสว่างทั้งตานอกตาใน จะหลับหรือจะลืมก็ไม่เป็นเรื่องต้องสงสัยอีกต่อไป เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าหลับตาในเวลาที่ไม่ควรหลับ รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่สะดวกเท่านั้นเอง ลืมตาทำจะดีกว่า เห็นของจริงทั้งนั้น จะไปหลับตาเห็นภาพลวงของปลอมไปทำไมกัน
ดังนั้น เราจะไปที่ไหน จะทำอะไรก็ต้องลืมตาไว้จะดีกว่า เราต้องรู้จักรักษากายตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะสติทำหน้าที่เป็นผู้รักษาตามพระบาลีว่า รักขมาโน สโต รักเข เมื่อจะรักษาอะไรให้ดี ต้องใช้สติเป็นผู้รักษา ถ้าไม่มีสติ จะรักษาอะไรไม่ได้ จะรักษากายก็ต้องเจริญสติจะรักษาใจก็เจริญสติ เช่นกัน
สติแบ่งเป็นหลายระดับ (ตามหน้าที่)
สติเบื้องต้น เราเรียกว่า ศีล
สติเบื้องกลาง เราเรียกว่า สมาธิ
สติเบื้องสูง เราเรียกว่า ปัญญา
สติเบื้องบน เราเรียกว่า ญาณ
สติเบื้องลึกลงไป เรียกว่า ญาณทัสสนะ
และ สติเบื้องลึกสุด เรียกว่า ญาณทัสสนวิมุตติ
แต่ในนามของสติจะเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ
บางคนก็บอกว่าหลวงพ่อสอนแต่เรื่องสติ
คุณธรรมพุทธศาสนามีตั้งเยอะแยะ
ทำไมหลวงพ่อไม่นำมาสอนบ้าง
ผู้เขียนเคยถามหลวงพ่อเทียนเหมือนกันว่า
คำนี้คำเดียวละครับหลวงพ่อ
ธรรมคำสอนมีตั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่อง”
ก็ยังปฏิบัติไม่ถูกกันเลยท่านเอ้ย…
แล้วถ้าพูดไปเยอะแยะมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าทั้งนั้นแหละ
เอาให้ได้เสียก่อนก็แล้วกัน”
ผู้เขียนก็เห็นด้วย เพราะเราใช้คำน้อยๆ
สติต้องสมดุลกับความคิด
ก็เหมือนเกลือ เกลือนิดเดียว
แต่ให้เรารู้จักใช้เท่านั้น
จะไปใช้เกลือกำมือหนึ่งก็ไม่ได้
เราต้องรู้ความพอเหมาะพอดีที่จะใช้
เราจะหมักปลาร้าสักไหหนึ่ง
จะใช้เกลือหนึ่งกำมือก็ไม่ได้
ก็ใส่ตามจำนวนของวัตถุดิบฉันใด
การรู้จักใช้สื่อภาษาก็ฉันนั้น
คนทุกวันนี้ตกเป็นทาสของสื่อ
ยึดติดที่คำพูด แต่ไม่เห็นความจริง
วันหนึ่งๆ เรานึกคิดปรุงแต่งตั้งเยอะ
แต่มีสตินิดเดียวก็ใช้ไม่ได้
เรามีความนึกคิดปรุงแต่งมากเท่าใด
ก็ต้องเจริญสติใส่เข้าไปมากเท่านั้น
ถ้าเรามีความคิดปรุงแต่งเยอะแยะ
จิตของคนทุกวันนี้ถึงได้บูดเน่า
เสียหายกันทั้งปีทั้งชาติไงละ
รู้จักแต่คร่ำครวญว่า เสียใจ
เศร้าใจ ทุกข์ใจ เจ็บใจ ฯลฯ
แล้วจะไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ใจ
ไม่เจ็บใจได้อย่างไร เป็นเพราะอะไร?
ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซ้ำซ้อนเลย
พระพุทธยานันทภิกขุ