ตัวรู้ ฉนวนกันทุกข์
ถ้าไม่มีตัวรู้ ก็จัดการจิตไม่ได้
แยกวิญญาณออกมาเป็นตัวรู้
เปลี่ยนอารมณ์เป็นตัวรู้
เราต้องไปตอกย้ำศรัทธา
และความเพียรของเราเอง
เพื่อที่จะไปเพิ่มพูนตัวรู้
หรือตัวสติให้เป็นนิสัยใหม่
นิสัยเก่าเราคือความ เผอเรอ
จับจด ฟุ้งซ่าน เพลิดเพลิน
สนุกสนาน หงุดหงิด โมโห
แต่ถ้าหากว่าตัวรู้เราเข้มแ
สิ่งเหล่านี้มันก็ถูกตามรู้
เปลี่ยนตัวความรู้สึกเหล่าน
ให้เป็นตัวรู้ให้หมด
และตัวรู้นี้ก็จะเปลี่ยนแปล
มันถึงจะเปลี่ยนแปลงสัญชาตญ
ให้เป็นปัญญาญาณได้
แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เข้
เราจะไม่มีวัตถุดิบเลย
เหมือนเราจะผลิตของชิ้นนึง
ต้องมีวัตถุดิบ
อารมณ์ต่างๆที่มากระทบ
มันเป็นวัตถุดิบ
หน้าที่ของเราคือ
ขยันเปลี่ยนตัวไม่รู้ให้เป็
ขยันเปลี่ยนตัวเผลอให้เป็นต
ขยันเปลี่ยนสัญชาตญาณให้เป็
สิ่งที่มันมีอยู่แล้วตลอดเว
แต่เราจะทันมั้ย เราจะไวพอมั้ย
เราจะชัดเจน เราจะแม่นยำพอมั้ย
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับศรัทธาและ
อารมณ์ไม่มีจริง
จิตไม่ใช่ตัวรู้
จิตกับตัวรู้เป็นคนละตัว
จิตรับอารมณ์เข้าไปสั่งสม
เพื่อเป็นตัวสังขาร
แต่ตัวรู้เป็นตัวของมันล้วน
เป็นวิญญาณ หรือญาณ
จิตแปลว่าสั่งสม
เก็บสิ่งที่ได้รับรู้เข้ามา
เป็นตัวของมันเอง
และพร้อมที่จะปรุงแต่งได้ตล
แต่วิญญาณเป็นตัวรับรู้
และแยกอารมณ์ต่างๆออก
เหลือแต่ญาณล้วนๆ
เป็น pure mind
ท่านจึงกล้าบอกว่าไม่มีจิต
เป็นสุญญตา คือว่างจากจิต
คำว่าจิตว่าง
ที่ถูกควรจะเป็นว่างจากจิต
เพราะไม่มีจิต มีแต่ตัวรู้
เปลี่ยนนิสัยด้วยตัวรู้
นิสัยเก่าเราคือเผอเรอ จับจด ฟุ้งซ่าน
สนุกสนาน หงุดหงิด โมโห
แต่ถ้าตัวรู้เข้มแข็งแล้ว
สิ่งเหล่านี้จะถูกตามรู้
เปลี่ยนตัวรู้สึกเหล่านี้ เป็นตัวรู้ให้หมด
และตัวรู้นี้ก็จะเปลี่ยนเป็นปัญญา
มันถึงจะเปลี่ยนสัญชาตญาณ
เป็นวิปัสสนาญาณได้
ตัวรู้ไม่ใช่ความสงบ
ถ้าเรายังไม่เห็นผลอะไรชัดเ
เราก็เบื่อบ้าง อยากบ้าง สลับกันไปเรื่อยๆ
แต่ให้เราดูสิ่งที่เกิดขึ้น
ความคิดมันน่าเบื่อหน่ายจริ
ถ้าเมื่อไรคนเริ่มเบื่อหน่า
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพ
อันเป็นธรรมหมดจด
แต่ถ้าเมื่อไรเรายังสนุกกับ
สนุกกับความสงบ
เราก็ยังแสวงหาเรื่อยไป
เพราะความคิดกับความสงบ
มันเสมือนเป็นคนละอย่าง
แต่จริงๆแล้วมันก็อันเดียวก
ความฟุ้งซ่านกับความสงบมันอ
แต่มันอยู่กันคนละขั้วเท่าน
ตรงนี้เป็นความสงบ ตรงนี้เป็นความคิด
มันก็เป็นอันเดียวกันนั่นแห
ขี้นอยู่กับว่า เมื่อไรเราจะใช้ขั้วไหนเท่า
แต่เราต้องไปสร้างตัวรู้อีก
ที่มันไม่ใช่ความคิดและไม่ใ
มันคือตัวรู้ หรือตัว awake
มันเป็นตัวของมันเอง
เหนือจิตคือตัวรู้
เพราะจิตเป็นตัวสั่งสม
ความรู้ ความจำ อดีต อนาคต
ทั้งหมด เรียกว่าจิต
คือภาวะที่สั่งสมอารมณ์
แต่ที่เหนือกว่าจิตนั้น คือตัวรู้
เมื่อรู้สึกตัว เมื่อนั้นก็ว่างจากจิต
นั่นคือมีสติสัมปชัญญะ
เข้าไปทำหน้าที่แทน
เอาสติ สัมปชัญญะ ปัญญา
เข้ามาทำงานแทนจิต
จิตมันจะต้องรวมเอา
รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณเข้าด้วยกัน
แต่ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา
อยู่เหนือจิต
ก็คือมีตัวรู้อยู่เหนือจิต
เมื่อมีจิต
มันก็ต้องมีการสร้างภาพ
และความคิด
ถึงแม้ว่าจะเป็นนามรูปก็ตาม
มันจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่เมื่อใด สติ สมาธิ ปัญญา
ออกมาเป็นความรู้สึกตัวทั่ว
มันก็อยู่เหนือเงื่อนไขของอ
ท่านจึงเรียกว่า ”อมตธรรม”
มันก็คือตัวรู้นี้เอง
เราจึงต้องสร้างตัวรู้นี้
ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่เมื่อมันยังไม่สมบูรณ์
แน่นอน การรบกวนของจิต
ก็ต้องมีอยู่
เรามักจะสับสนเรื่องภาษา
ใช้พูดว่าจิตบ้าง สติบ้าง
ดังนั้น พยายามฝึกฝนไปเรื่อยๆ
ถ้าเราเห็นอานิสงส์มากขึ้น
มันจะไม่ท้อ