ตัวรู้ที่เป็นเวทนากับตัวรู้ที่เป็นสติต่างกันอย่างไร?
คำว่าเวทนาก็เป็นตัวรู้
ตัวรู้ในการเสพเสวยอารมณ์
ตัวสติก็แปลว่าตัวรู้สึกตัว
ระหว่างตัวรู้สึกปวด
กับตัวรู้สึกตัวต่างกันอย่า
เราปวดขาเป็นทุกขเวทนา
ตัวรู้สึกตัวเข้าไปดูตัวปวด
ถ้าไปรู้ว่าการปวดขาเป็นของ
ฉันไม่ชอบ มันมีตัวอัตตาขึ้นมาแล้ว
สุขเวทนาความสบาย
ก็เป็นความสบายของฉัน
เป็นมิจฉาสติขึ้นมา
หรือว่าเรานั่งฟัง พอไม่พอใจก็ลุกหนี
เพราะไปสำคัญสิ่งที่เขาพูด
ว่าเป็นตัวเขาและเราเป็นผู้
และไปสำคัญว่าสิ่งที่เขาพูด
ถูกหรือไม่ถูก ใช่หรือไม่ใช่
ถ้าไม่ถูกใจก็หนีอย่างเดียว
ถ้าถูกใจก็พูดคุยกันต่อไป
มันเป็นเวทนาทั้งขึ้นทั้งล่
ถ้าคนที่ไม่ฝึกวิปัสสนาเจริ
จะไม่รู้เท่าทัน
หรือไม่รู้เท่าทันแต่ทนฟังไ
สมมติว่าเราต้องไปคุยกับผู้
เราเลี่ยงไม่ได้เราต้องทนฟั
เราก็อยู่ในสภาวะเก็บกด
ตรงนี้คือภาคปฏิบัติในชีวิต
ว่าเรารู้เท่าทันเวทนา
ได้มากน้อยแค่ไหน
คนไข้กับหมอ
ตัวทุกขเวทนา
เปรียบเสมือนคนป่วยที่นอนบน เตียง
ได้ยาก็ดีขึ้น ขาดยาก็แย่ลง
ตัวรู้ สติ สมาธิ ปัญญา
เปรียบเสมือนหมอ ต้องดูอาการคนไข้
แต่ในกรณีที่เราไม่มีสติ สมาธิ ปัญญา
ที่ฝึกฝนมา
เราก็เป็นคนไข้ของอวิชชาตลอ
ได้หมอเถื่อนหมอผีมาจัดการอ
ก็ถูกหลอกอยู่เรื่อยๆ
เวทนาหลอกเราตลอดเวลา
เวทนาหลอกเราอยู่ตลอดเวลา
สุขเวทนาก็หลอกเรา
ทุกขเวทนาก็หลอกเรา
ทำอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก
ก็ต้องทำตัววิปัสสนาปัญญา
ให้เกิดขึ้นมา
แล้วก็ตามเวทนา
เข้าไปที่ต้นตอของมัน
ว่าสุขเวทนาเกิดขึ้นได้อย่า
ทุกขเวทนาเกิดขึ้นอย่างไร
เรียกว่า สุขเวทนา
เหตุให้เกิดสุขเวทนา
การดับสุขเวทนา
และวิธีการดับสุขเวทนา
ทุกขเวทนา
เหตุให้เกิดทุกขเวทนา
การดับทุกขเวทนา
และวิธีการดับทุกขเวทนา
เข้าสู่หลักอริยสัจจ์สี่
เป็นหลักสากลที่แก้ปัญหาได้
พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศทางป
เพราะปัญญาเกิดขึ้นตลอดเวลา
เวทนาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ทำให้เกิดสติ
ระดับของปัญญาจะมากแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับระดับของสติ
สติจึงเป็น transformer
แต่ต้องเป็นสัมมาสติ
สงบสลับเคลื่อนไหวให้พอดี
ความสงบที่ไม่มีความตื่นตัว
เป็นความสงบที่หนักหน่วงถ่ว งทับ
แต่เราต้องการความสงบที่โปร ่งเบา
ความสงบที่ผสมกับการเคลื่อน ไหว
ชีวิตจริงเราจะมี ๒ มิติ
มิติที่เกิดและดับ
มิติที่เกิด คือการเคลื่อนไหว
มิติที่ดับ คือความสงบ
ผสมผสานการเคลื่อนไหว
กับความสงบในสัดส่วนพอดีกัน
เราก็จะได้ความโปร่งเบาขึ้น
แต่ถ้าหากเราใช้ความสงบด้าน
คือใช้ด้านดับ มันก็จะหนักหน่วง
แต่ถ้าเราใช้ด้านเกิดด้านเด
ก็จะหนักไปอีกแบบ
การผสมผสานระหว่าง
การเกิดดับแบบพอดี
ก็จะทำให้เราได้รับความโปร่
เป็นธัมมสัปปายะ
ความพร้อมทั้งปวงมารวมกันที
ที่จะต้องคอยปรับ
การปรับเราใช้หลักของรูปนาม
เป็นตัวปรับ
พึ่งไม่ได้ทั้งสุขและทุกข์
ในชีวิตจริงเราต้องเจอคนมาก มาย
ที่ถูกชะตาและไม่ถูกชะตา
ในสถานการณ์ต่างๆ
ที่ก่อให้เกิดสภาวะทั้งสองต ัวนี้
คือสุขกับทุกข์
ดังนั้นเราจึงเจริญสติให้มา
สร้างตัวรู้ที่จะเข้าไปจัดก
ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได
เพื่อที่เวทนาทั้งสองอย่าง
จะทำร้ายเราไม่ได้
ตัวนี้เข้าไปสลายมันเสียก่อ
ตัวสุขเวทนาก็เพาะเชื้อ
ให้เกิดทุกขเวทนา
เพราะความพอใจตามใจเรา
ก็ไปขัดใจคนอื่น
สุขเวทนาก็กลายเป็นทุกขเวทน
หลังจากนั่งสบายพอผ่านไป
ก็เป็นทุกขเวทนา
เพราะมันเป็นชราธรรม
ที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป
ตามกฎของไตรลักษณ์
เพราะฉะนั้นพึ่งไม่ได้
ทั้งสุข ทุกข์ และอทุกขมสุขเวทนา
ต้องกำหนดรู้