จิตใจของเราในช่วงที่ปฏิบัติได้อารมณ์
เปรียบเหมือนฝนตก
ต้นไม้ก็จะดูดซึมธาตุต่างๆ ในดินได้มาก
จิตใจของเราก็ซึมซับเอาธรรมธาตุต่างๆ
เข้าไว้ในตัวมัน
จิตเราก็เติบโต สติเราก็เข้มแข็งขึ้น
ตัวรูปนามเบื้องต้น
จะเป็นตัวแยกระหว่าง
ความคิดกับความรู้สึกตัว
ออกให้เห็นชัด สัมผัสได้
ถ้าช่วงไหนที่เรามีความรู้สึกตัวชัดๆ
มันจะโปร่งเบาสบาย
ไม่มีความคิดอารมณ์ใดมารบกวน
ถึงมีบ้างก็สลัดได้ง่ายๆ
ภาษาว่าแยกรูปแยกนาม
คือเห็นรูปเป็นรูป
เห็นนามเป็นนาม
เมื่อก่อนเราเห็นนามเป็นรูป
เห็นรูปเป็นนาม
เห็นความคิดเป็นความรู้สึก
เห็นความรู้สึกเป็นความคิด
แต่ถ้าหากมันได้อารมณ์รูปนาม
เราก็จะเห็นกายคือกาย
เห็นจิตคือจิตไม่ปนกัน
จิตได้อารมณ์ ความดีใจ ความเสียใจ มีค่าเท่ากัน
บางทีกายไม่สบายแต่จิตก็อาจสบายก็ได้
เมื่อจิตสบาย กายอาจไม่สบายก็ได้
ใจมันไม่ไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
มันจะอยู่ตรงกลาง
ไม่ไปเสพความสุขสบาย
และไม่ปฏิเสธความร้อนเร่า
เป็นกลางทั้งสองอย่างและรู้ทั้งสองอย่าง
แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเรา
มันยังไม่ได้เห็นอารมณ์รูปนามชัด
ถ้าหากอันไหนมันหนัก
เราก็เข้าไปในทางนั้น
แล้วจิตของเราก็จะหมดกำลัง
อ่อนแอ เศร้าหมอง คิดมาก
มันก็จะเกิดตามมา
แต่ถ้าได้อารมณ์มันจะเข้มแข็ง
ความดีใจก็ไม่มีความหมาย
ความเสียใจก็ไม่มีความหมาย
มีค่าเท่ากัน
ถ้าได้อารมณ์มันจะรู้สึกอย่างนั้น
จิตของเราจะมีความสุขได้ง่าย
ความสุข ความทุกข์ เป็นเพียงขั้นบันได
จิตของเราถ้าจะเกิดโลกุตตรป
มันจะต้องมีความสุขเสียก่อน
มีปีติมีปัสสัทธิก่อน
ตัวปัญญามันถึงจะเกิดขึ้น
ตัวปัญญาเป็นลักษณะของ
ความเบาสบายปลอดโปร่ง
ปัญญาที่เป็นโลกุตตระถึงเกิ
แต่ปัญญาที่เป็นโลกียะ
เกิดจากความรู้สึกนึกคิด
จดจำพินิจพิจารณา
มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึก
โล่งโปร่งเบาเหมือนโลกุตตรป
ก่อนที่จะไปอยู่เหนือสุขได้
ต้องผ่านสุขเสียก่อน
เห็นความสุขเป็นเพียงบันไดข
ความทุกข์ก็เป็นบันไดขั้นหน
ให้เหยียบขึ้นเหนืออารมณ์
เหมือนกับเราเหยียบบันไดขึ้
เหนือบันไดก็คือบ้านที่อยู่
เหนือสุขทุกข์ก็คือที่อยู่ข
เหนืออารมณ์ก็คือเหนือกายเห
ไปอยู่กับความจริงความรู้
Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)