อารมณ์ไม่ใช่จิต
ความจริงจิตนี้ไม่มีอะไรมันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนี้ ตัวจิตแท้ ๆ ไม่มีอะไรเป็นธรรมชาติอยู่เฉย ๆ เท่านั้น ที่สงบไม่สงบก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง
ความดีใจเสียใจนั้นเป็นอารมณ์มิใช่จิต จิตหลงอารมณ์โดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์
เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด เราก็นึกว่าจิตเป็นทุกข์นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมันหลงอารมณ์
จิตของเรามันมีความสงบอยู่เฉย ๆ มีความสงบนิ่งเหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัด ก็อยู่เฉย ๆ ถ้ามีลมมาพัด ก็กวัดแกว่ง เป็นเพราะลมมาพัดและก็เป็นเพราะอารมณ์มันหลงอารมณ์
ถ้าจิตไม่หลงแล้วจิตไม่กวัดแกว่งถ้ารู้เท่าอารมณ์แล้วมันก็เฉย เรียกว่าปกติของจิต
แบกหนัก ปล่อยเบา
อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหน
แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับม
ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ
พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้ง
ก็มาคิดอีกแหละว่า
เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว
เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ
ไม่ยอมทิ้งถึงจะมีใครบอกว่า
แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้
เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่น
เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไร
ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้
จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มทีจน
ก็เลยปล่อยมันตกลง
ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ
ก็จะเกิดความรู้เรื่อง การปล่อยวาง ขึ้นมาเลย
เราจะรู้สึกสบายแล้วก็รู้สึ
ว่าการแบกก้อนหินนั้นมันหนั
แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเรา
การปล่อยวาง มันมีประโยชน์เพียงใด
เห็นโทษแล้วจึงไม่อยากทำ
บางคนที่เรียกว่ายังไม่บรรล
ผู้บรรลุธรรมนั้นคล้ายกับว่าเรามองเห็นงูเ
กวาดใจให้สะอาด
ฉะนั้นข้อวัตรปฏิบัตินี้เพื่อให้เข้าไปรู้
ไปเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
มันก็เป็นคล้ายๆ พื้นฐาน
อย่างเราจะปลูกอาคารสักหลังหนึ่ง
มันมีข้างบนสองชั้นสามชั้น
มันก็อยู่ข้างบนโน่น
แต่พื้นฐานก็คือตัววางรากฐานนี้เอง
มันจะทรงตัวมันอยู่ได้
ก็เพราะรากฐานของมันมั่นคง
ข้อวัตรทั้งหลายมีกำลังมาก
ที่ไหนในวัดที่จะทำได้
ไม่ว่าจะเป็นในกุฏิของเรา ในกุฏิคนอื่นก็ดี
ที่มันสกปรกรกรุงรังทำเลย
ไม่ต้องทำให้ใคร
ไม่ต้องทำเอาหน้าเอาตาจากใคร
ทำเพื่อข้อปฏิบัติของเรา
กวาดกุฏิ กวาดเสนาสนะให้มันสะอาด
ถ้าเราทำเช่นนี้
เหมือนเรากวาดของสกปรก
ออกจากใจของเรา
เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติ
อันนี้ให้มันมีอยู่ในใจของพวกเราทุกคน
ความสามัคคีนั้นไม่ต้องเรียกร้องหรอก เป็นเลย
ชาติหน้ามีจริงหรือไม่?
โยม “ชาติหน้ามีจริงไหมครับ?”
หลวงปู่ชา “ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?”
โยม “เชื่อครับ”
หลวงปู่ชา “ถ้าเชื่อคุณก็โง่”
คำพูดดังกล่าวของหลวงปู่เล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ซึ่งหลวงปู่ชา ได้อธิบายไว้ว่า….
หลายคนถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป
ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ
ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง”
จำเป็นไหมที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานาน
นับเป็นหลายๆ ชั่วโมง
บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด
ก็จะยิ่ง เกิดปัญญามากเท่านั้น
ผมเคยเห็นไก่กกอยู่ในรังของมัน
ทั้งวันนับเป็นวันๆ
ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรา
มีสติในทุกๆ อิริยาบถ
การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันที
ที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า
และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไป
จนกระทั่งนอนหลับไป
อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
สิ่งสำคัญก็คือท่านเพียงแต่เฝ้าดู
ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ หรือนั่งอยู่
หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่